เพลงรำวง เพลงพื้นบ้าน (1) : จากรำโทน สู่รำวง

โดย คีตา พญาไท      16 สิงหาคม 2555 19:11 น.

                ภาพการแสดงรำโทนโดยชาวไทยวน อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ที่หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี
       
รำวง เป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทย ที่เล่นกันเพื่อความสนุกสนานและเชื่อมความสามัคคี แต่เดิมนั้น เรียกกันว่า รำโทน ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคกลางของไทย ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ – ๒๔๘๘ เช่น สระบุรี ลพบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี แต่มีผู้รู้หลายคนบอกว่า รำโทน นั้น เริ่มเป็นที่นิยมกันที่ นครราชสีมาหรือโคราช และเพชรบูรณ์ มาก่อน
    
        ที่ รำโทน ได้รับความนิยมนั้น เนื่องจากมีผู้อพยพหนีสงครามไปอาศัยอยู่ในต่างจังหวัด จึงมีผู้คิด รำโทน ขึ้นเพื่อเป็นกิจกรรมคลายเครียด และเป็นการรื่นเริงสนุกสนานตามสภาพของแต่ละท้องถิ่น
    
        แต่เดิมนั้น รำโทน ใช้การปรบมือ และตี กลองโทน เป็นจังหวะเพียงอย่างเดียว (บางแห่งใช้ ถังน้ำมัน แทน ) ต่อมาจึงเพิ่ม กรับ และ ฉิ่ง การรำก็ใช้วิธีรำเป็นคู่ๆ เดินกันเป็นวงกลม หรือวนอยู่บนลานกว้าง โดยจุดตะเกียงเพื่อส่องแสงสว่าง ส่วนจะรำกันท่าไหนก็ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เพียงแต่ต้องรำให้ถูกจังหวะเท่านั้น
    
        เพลงที่ใช้ร้องกัน มักจะเป็นกลอนสั้นๆ เนื้อหาง่ายๆ ร้องซ้ำกันไปซ้ำกันมาหลายรอบ โดยไม่มีชื่อเพลงหรือบ่งบอกว่าใครเป็นคนแต่ง ใช้วิธีจดจำร้องต่อๆ กันมา และมักจะแต่งเป็นเหตุการณ์ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น เสียเป็นส่วนมาก เช่น
    
        เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด ( ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดชิดเข้าไปอีกหน่อย...) / เพลงช่อมาลี ( เจ้าช่อมาลี คนดีของพี่ก็มา...) / เพลงดอกฟ้าจะร่วง (ดอกฟ้าจะร่วง พวงพะยอมโรยรา...) / เพลงตามองตา ( ตามองตา สายตามาจ้องมองกัน...) / เพลงยวนย่าเหล ( ยวนย่าเหล ยวนย่าเหล่ หัวใจว้าเหว่ไม่รู้จะเหไปหาใคร...) เพลงหล่อจริงนะดารา ( หล่อจริงนะดารา งามตาจริงแม่สาวเอย...) ฯลฯ
    
        รำโทน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี้ ได้รับความนิยมกันมาก หน่วยงานของทหารและหน่วยราชการบางแห่งมีการฝึกหัดรำกันเป็นประจำทุกอาทิตย์
    
        อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากร อธิบายเอาไว้ ใน หนังสือ รำวง ว่า
    
        “...ศิลปแห่งการ รำวง สืบเนื่องมาจาก รำโทน ซึ่งเป็นการเล่นพื้นบ้านของชาวไทย ที่นิยมเล่นกันในฤดูเทศกาลเฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัด
    
        เครื่องดนตรีที่ใช้ก็มี ฉิ่ง กรับ และ โทน สำหรับตีเป็นจังหวะประกอบฟ้อนรำ โดยเหตุที่การฟ้อนรำ ใช้จังหวะ โทน ตีตามหน้าทับ ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นโดยเฉพาะเป็นหลักสำคัญ จึงเรียกฟ้อนรำแบบนี้ว่า รำโทน มาแต่เดิม
    
        ต่อมาเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๘๓ มีผู้นำแบบอย่าง รำโทน ไปเล่นกันในท้องถิ่นอื่นๆ และเล่นกันไม่แต่เฉพาะฤดูเทศกาล จึงเกิดมีผู้นิยมนำไปเล่นกันแพร่หลายไปตามจังหวัดอื่นๆ ทั้งมีผู้คิดแต่งบทร้องกับประดิษฐ์ทำนองเพลงให้เข้ากับจังหวะหน้าทับของ โทน ที่ใช้อยู่เดิมอีกด้วย...”
    
        ต่อมาการ รำโทน ได้พัฒนา เป็นการ รำวง โดยมีโต๊ะตั้งอยู่กลางวง หรือมีเสาจุดตะเกียงเจ้าพายุส่องสว่าง แล้วคู่รำทั้งชายและหญิงออกรำกันเป็นคู่ๆ เดินหมุนไปรอบๆโต๊ะหรือเสา และแพร่หลายออกไปเล่นกันตามงานวัด โดยมี คณะรำวง ที่มี กองเชียร์ และ สาวรำวง หรือ นางรำ ประจำวง ที่แต่งตัวเหมือนๆกันทั้งรูปแบบและสีสัน
    
        นั่งรอให้ผู้ชายซื้อ บัตรรำวง หรือ พวงมาลัย ไปคล้องคอ แล้วชวนกันรำเป็นวงกลมไปรอบๆเวที ซึ่งได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในแถบภาคใต้ คือที่ภูเก็ต ซึ่งมีกันอยู่หลายคณะ (ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันยังมีกิจกรรมสืบเนื่องต่อกันอยู่อีกหรือไม่)
    
        เมื่อ หมดรอบ หรือ หมดเพลง ก็ต้องซื้อบัตรหรือพวงมาลัยกันใหม่ บางทีมีการแย่งจองตัว ดาราสาวรำวง
    
        ที่สวยที่สุดในคณะ จึงต้องออกแรง ออกกำลังกันบ้างเป็นธรรมดา จนต้องมีคนคอยควบคุม กำกับดูแลรักษาความสงบ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นทหารสารวัตร หรือตำรวจเจ้าของท้องที่นั้นๆ
    
        คณะรำวงที่ขึ้นชื่อในยุคนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายคณะ เช่น คณะ ส.สามัคคี / คณะดาวสีฟ้า / คณะรำโทนปากน้ำ คณะศิษย์พระเจนฯ คณะบ้านบาตร และ คณะสามย่าน ซึ่งมี เพลงอยุธยาเมืองเก่า ( อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน...) / เพลงบางระจัน ( ศึกบางระจัน จำให้มั่นพี่น้องชาวไทย...) ที่โด่งดังมีชื่อเสียงมาก มี นักร้องและครูเพลงหลายคน เคยเป็นคนเชียร์รำวงมาก่อน เช่น คำรณ สัมบุณณานนท์ / เลิศ ประสมทรัพย์ / เบญจมินทร์ / สุรินทร์ ปิยานนท์ / สุรพล สมบัติเจริญ / วิมล จงวิไล / ประเทือง บุญญประพันธ์ / ประชุม พุ่มศิริ / ชูศรี มีสมมนต์ และ สุรพล โทณะวณิก ฯลฯ เป็นต้น
    
        กิเลน ประลองเชิง คอลัมนิสต์ แห่ง หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เขียน สวรรค์วงฟ้อน เอาไว้ เมื่อ วันที่ 19 มิถุนายน 2549 ว่า
    
        “...น.ณ ปากน้ำ เล่าไว้ในย่ำต๊อกทั่วกรุงเทพฯว่า เกือบทุกคืน เรือบินข้าศึก บี 29 บินสูงลิบ เกินวิถีกระสุนปืนใหญ่ทหารไทย มากันเป็นแพ แพละสิบกว่าลำ เข้ามาทิ้งระเบิด ก่อนระเบิดเครื่องบินจะทิ้งแฟลร์ สว่างยิ่งกว่าพระจันทร์วันเพ็ญ แล้วทิ้งแบบปูพรม ตึกรามบ้านช่อง ถูกระเบิดพังราบเป็นหน้ากลอง คนตายเหลือคณานับ
    
        ปี ๒๔๘๕ น้ำท่วมใหญ่ติดต่อกันหลายเดือน ชาวบ้านไปไหนมาไหนก็ต้องใช้เรือ นักการเมืองมาประชุมสภา ก็นั่งเรือ ท่านผู้นำ มาทำเนียบ ก็นั่งเรือ น่านฟ้า ข้าศึกใช้เครื่องบินโจมตี น่านน้ำก็ใช้เรือดำน้ำปิดอ่าว เรือสินค้าเข้ามาไม่ได้ ไทยขาดแคลนเสื้อผ้า และเครื่องบริโภค น้ำลดแล้ว ตอที่โผล่ขึ้นมาเป็น ทหารญี่ปุ่น
    
        ที่อำเภอเสาๆไห้ จังหวัดสระบุรี มีการละเล่นพื้นบ้าน เรียกว่า รำโทน
    
        สมัยสงคราม รำโทน กันง่ายๆ ตั้งโต๊ะจุดตะเกียงเจ้าพายุ ดนตรีก็มีโทนลูกเดียว มีคนร้องเป็นลูกคู่ อยู่กลุ่มหนึ่ง
    
        ผู้หญิงก็ผู้หญิงชาวบ้าน ยืนตบมือร้องเพลง เมื่อมีผู้ชายมาโค้ง ก็ออก ”วงรำ” พวงมาลัยก็ไม่มี
    
        ชื่อ รำโทน กลายเป็น รำวง ไปตอนนี้เอง
    
        เพลงรำวง จาก วงสามย่าน วันนี้ยังพอมีคนร้องได้
    
        อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน หรือ หล่อจริงนะดารา งามตาจริงแม่สาวเอย
    
        ส่วนเพลงที่ยังฮิต ติดปากถึงวันนี้ ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดๆเข้ามาอีกหน่อย สวรรค์น้อยๆอยู่ในวงฟ้อนรำ รูปหล่อเขาเชิญมาเล่น เนื้อเย็นเขาเชิญมารำ มองมานัยน์ตาหวานฉ่ำ มะมารำกับพี่เอย
    
        เพลงรำวงชาวบ้าน แต่งกันเองไพเราะมาก
    
        เมื่อราชการบังคับให้ข้าราชการตั้งวงรำ เชื่อมความสมานฉันท์ หนึ่งวันในหนึ่งสัปดาห์
    
        กรมศิลปากร ก็บัญญัติท่ารำ และแต่งคำร้องขึ้นใหม่
    
        งามแสงเดือน มาเยือนส่องหล้า งามใบหน้า มาสู่วงรำ
    
        อาจารย์ น.ณ ปากน้ำ บ่นว่า “เพลงหลวง ไพเราะสู้ เพลงราษฎร์ ไม่ได้เลย...”
    
        ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ กรมศิลปากร ปรับปรุงการละเล่นพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะ รำโทน หรือ รำวง ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นต้นแบบที่ได้มาตรฐาน โดยแต่งบทร้องและคิดค้นท่ารำขึ้นใหม่ ที่คู่รำต้องรู้จักรักษาจังหวะของเท้าและเคลื่อนไหวมือ ให้เข้ากับจังหวะเพลง จึงได้ชื่อเรียกกันใหม่ว่า รำวงมาตรฐาน ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา
    
        บทเพลง และ ท่ารำ ของ รำวงมาตรฐาน ที่ กรมศิลปากร พัฒนาขึ้น ทั้ง ๑๐ เพลง ได้แก่
    
        เพลงงามแสงเดือน จมื่นมานิตย์นเรศ ( เฉลิม เศวตนันท์ ) อาจารย์มนตรี ตราโมท ( งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า...) ท่ารำ สอดสร้อยมาลา / เพลงคืนเดือนหงาย จหมื่นมานิตย์นเรศ ( เฉลิม เศวตนันท์ ) อาจารย์มนตรี ตราโมท ( ยามกลางคืนเดือนหงาย เย็นพระพายโบกพลิ้วปลิวมา...) ท่ารำ สอดสร้อยมาลาแปลง / เพลงชาวไทย จหมื่นมานิตย์นเรศ ( เฉลิม เศวตนันท์) อาจารย์มนตรี ตราโมท ( ชาวไทยเราเอ๋ย อย่าละเลยในการทำหน้าที่...) ท่ารำ ชักแป้งผัดหน้า
    
        เพลงดอกไม้ของชาติ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม อาจารย์มนตรี ตราโมท ( ขวัญใจ ดอกไม้ของชาติ...) ท่ารำ รำยั่ว / เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ครูเอื้อ สุนทรสนาน ( ดวงจันทร์ขวัญฟ้า ชื่นชีวาขวัญพี่...) ท่ารำ ช้างประสานงา / จันทร์ทรงกลดแปลง / เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม อาจารย์มนตรี ตราโมท ( ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเด่นอยู่ในนภา...) ท่ารำ แขกเต้าเข้ารัง / ผาลาเพียงไหล่ / เพลงบูชานักรบ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ครูเอื้อ สุนทรสนาน ( น้องรัก รักบูชาพี่...) ท่ารำ จันทร์ทรงกลด / ขอแก้ว / ขัดจางนาง / ล่อแก้ว / เพลงยอดชายใจหาญ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ครูเอื้อ สุนทรสนาน ( โอ้ยอดชายใจหาญ ขอสมานไมตรี...) ท่ารำ จ่อเพลิงกาฬ / ชะนีร่ายไม้ / เพลงรำซิมารำ จหมื่นมานิตย์นเรศ ( เฉลิม เศวตนันท์) อาจารย์มนตรี ตราโมท ( รำซิมารำ เริงระบำกันให้สนุก...) ท่ารำ รำส่าย / เพลงหญิงไทยใจงาม ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ครูเอื้อ สุนทรสนาน ( เดือนพราว ดาวแวววาวระยับ...) ท่ารำ พรหมสี่หน้า / ยูงฟ้อนหาง

อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000101085

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติโรงเรียนเทศบาลวัดแก่งคอย